ตำนานเจ้าแม่อยู่หัว
เจ้าแม่อยู่หัวหมายถึง
พระพุทธรูปทองคำที่สร้างแทนตัวบุคคลที่ชาวบ้านท่าคุระบุคคลทั่วไปให้ความเคารพนับถือและเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้เมื่อหลายร้อยปีมาแล้วจึงเป็นมรดกตกทอดมาให้คนรุ่นหลังได้เคารพสักการบูชาสืบต่อกันมา รวมทั้งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
ที่รวมจิตใจเป็นหนึ่งทำให้ลูกหลานเกิดความรักความสามัคคีสืบมา
เจ้าแม่อยู่หัว ประดิษฐานอยู่ที่วัดท่าคุระ หมู่ 9 ตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
ขนาดหน้าตักกว้าง 2 นิ้ว
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยสุโขทัยตอนปลายหรืออยุธยาตอนต้น ประมาณ
พ.ศ. 1900
ด้วยความเชื่อถือและศรัทธาว่าเจ้าแม่อยู่หัวมีความศักดิ์สิทธิ์
ประชาชนทั่วไปจึงแสดงความจงรักภักดีความกตัญญูกตเวที
ความศรัทธาโดยการสมโภชและสรงน้ำเจ้าแม่อยู่ทุกปี ด้วยความสามัคคีที่มีเป้าหมายตรงกันโดยยึดเอาเจ้าแม่อยู่หัวเป็นศูนย์รวมจิตใจ
แม้ว่าลูกหลานได้อพยพกระจัดกระจายย้ายถิ่นไปทำมาหากินทั่วประเทศไทย บ้างก็ไปรับราชการ บ้างก็ไปทำมาค้าขาย แต่ใน 1 ปี
เมื่อถึงวันพุธแรกข้างแรมเดือน 6 ก็จะกลับมาเพื่อร่วม “สมโภชสรงน้ำเจ้าแม่อยู่หัว”
เป็นพันธะสัญญาของลูกหลานในท้องถิ่น เจ้าแม่อยู่หัว
หรือพระหน่อเชื่อกันว่าเป็นโอรสเจ้าเมืองใดไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด แต่ท่านผู้เฒ่าเล่ากันมาว่า เมื่อหลายร้อยปีมาแล้วมีเมือง ๆ หนึ่ง
สมัยสุโขทัยตอนปลายอยุธยาตอนต้นเจริญด้วยศิลปวัฒนธรรมอย่างยิ่งน่าจะเป็นเมืองนครศรีธรรมราชในปัจจุบันเจ้าเมืองมีโอรสหนึ่งพระองค์ มีพระนามเรียกขานทั่วไปว่าพระหน่อ พระชนมายุประมาณ 9-10 พรรษา
ซึ่งเป็นที่รักใคร่ของพระบิดามารดาและเหล่าอาณาราษฎร
เพราะนอกจากพระหน่อเป็นคนฉลาดเฉลียวยังพูดจาไพเราะอ่อนหวาน
ส่วนพระนามที่แท้จริงนั้นไม่สามารถจำได้เพราะกษัตริย์เป็นสมมุติเทพมีพระนามยาว
ๆ หลายพยางค์
ตามธรรมดาพระหน่อมักจะลงเล่นน้ำสรงน้ำที่ท่าน้ำเป็นประจำอยู่มาวันหนึ่งแม้ว่าพี่เลี้ยงนางสนมต่างดูแล และระมัดระวังเป็นอย่างดีแต่พระหน่อก็หายไปราวกับเกิดปฏิหารย์ ถึงจะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบร่องรอย บ้างก็ดำน้ำลงค้นหา บ้างก็วิ่งไปหาบนตลิ่งต่างร้องไห้คร่ำครวญเพราะเสียใจที่เจ้าฟ้าอันเป็นที่รักยิ่งหายไป
และเกรงกลัวพระอาญาในที่สุดเมื่อหมดปัญญาจึงได้พากันมากราบบังคมทูลให้พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีทรงทราบ พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วเป็นที่สุดและพระราชินีถึงกับเป็นลมหมดสติไป พอตั้งสติได้
พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงรับสั่งให้ทหารมหาดเล็ก
เสนาบดีน้อยใหญ่ค้นหาอีกครั้งหนึ่งอย่างละเอียดแม้ได้แต่ร่างกายที่ไร้วิญญาณก็ทรงพอพระทัยแล้ว
ถึงค้นหาอย่างไรก็ไม่พบอีกนั่นแหละถึงพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีจะทรงเสียพระทัยจนสุดที่จะพรรณนา แต่ก็เชื่อในกฎแห่งกรรมและด้วยทศพิธราชธรรมพระองค์มิได้ลงอาญาแก่ผู้ใด เมื่อกษัตริย์ทั้งสองได้พยายามถึงที่สุดแล้ว
ก็ไม่เป็นผลเลยรับสั่งให้โหราธิบดีทำนายตรวจดูชะตาราศีของพระราชโอรสหลังรับสั่งให้โหราธิบดีทำนายตรวจดูชะตาราศีของพระโอรสหลังจากโหราธิบดีได้ตรวจดูวันเดือนปี ลงเลขบวกลบคูณหารตามราศีอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว จึงกราบทูลว่า ดวงชะตาของพระหน่อยังไม่ถึงชีวิต
เพียงตกอยู่ในพระเคราะห์เล็กน้อยด้วยผลบุญกรรมที่เคยทำไว้แต่ปางก่อนที่เสวยอายุจึงทำให้ต้องพลัดพรากจากเมืองหลวงไป แต่ก็ไปในทางที่ดี
จะพบผู้อุปการะอย่างดีและด้วยบุญบารมีต่อไปข้างหน้า จะมีเกียรติคุณเกียรติศัพท์ เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป แล้วจะกลับสู้พระราชฐานในไม่ช้า ขอให้ติดตามไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นที่ทุรกันดาร
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวได้รับคำทำนายของโหรแล้ว
ก็ตรัสให้เหล่าทหารมหาดเล็กจัดกำลังพลแยกย้ายกันออกเดินทางไปติดตามหาพระหน่อทางทิศใต้
โดยกำชับว่าหากไม่พบพระหน่อก็ไม่ต้องกลับมาเมืองหลวงแม้จะใช้เวลาสักเพียงใดก็ตาม
แต่เดิมนั้นเมืองพัทลุงตั้งอยู่อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ปัจจุบัน
โดยมีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันหลายพระองค์เช่น พระเจ้ากรุงทองปกครองกับสมัยสุโขทัยตอนปลายพระเจ้าธรรมคัล ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา
เมืองพัทลุงจึงมีประวัติสัมพันธ์กับกรุงศรีอยุธยาหลักฐานที่สำคัญปรากฏในการก่อสร้างวัดพะโคะ เมื่อ
พ.ศ. 2057
ณ
หมู่บ้านหนึ่งอยู่ทางทิศใต้
เมืองศิริธรรมนคร
หรือนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน
และทิศเหนือเมืองพัทลุงเรียกว่าบ้านพราหมณ์จัน ห่างจากวัดพะโคะ ประมาณ
2 กิโลเมตร
มาทางทิศใต้และทิศเหนือของวัดท่าทองหรือปัจจุบันเรียกว่า วัดท่าคุระ ประมาณ 1 กิโลเมตร บ้านพราหมณ์จัน ปัจจุบันเพี้ยนมาเป็นบ้านแพรจัน
อยู่ในเขตปกครองหมู่ที่ 9 ตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ จัดหวัดสงขลา เป็นส่วนหนึ่งของแหลมที่ยื่นลงมา
ทิศตะวันออกจรดอ่าวไทย
ทิศตะวันตกจรดทะเลสาบสงขลาพื้นที่เป็นที่ราบดินเหนียว ปัจจุบันเป็นที่นาของนางไสว ยิ้มละมัย (กลิ่นสุวรรณ) ซึ่งเคยขุดพบถ้วยชาม เครื่องใช้โบราณมาแล้ว
มีครอบครัวหนึ่งอยู่มาช้านานแล้ว แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ชื่อตา
พรหม กันยายจัน
ทั้งสองสู่เข้าวัยชราอาชีพทำนาเก็บผักเก็บฟืน
หากุ้งหาปลา เอาแต่พอกินใช้
ไม่เดือดร้อนอะไรเพราเมื่อก่อนมีความอุดมสมบูรณ์อยากกินปลาน้ำจืดก็ไปหาปลาตามห้วยหนองคลองบึงหรือในทะเลสาบ อยากจะกินปลาน้ำเค็มก็ไปหาปลาทะเลอ่าวไทย
อยู่มาคืนหนึ่งตาพรหมฝันว่าเห็นช้างเผือกเชือกหนึ่งนั้นก็สูญหายไป ตา
ยาย ก็แก้ความฝันกันไปต่างๆนานาพอรุ่งเช้าตาพรหมก็ออกจากบ้านไปหาปลาน้ำเค็มกิน
ยายก็ช่วยจัดข้าวห่อ หมากพลู ใบจากยาเส้น
เตรียมให้ตา
ตาออกจากบ้านมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกคือบ้านแล ปัจจุบันอยู่ใกล้กับวัดชะแม ตำบลดีหลวง
ตาพรหมหากุ้งปลาได้พอสมควรแล้วหยุดพักกินข้าวห่อแล้วเหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งลอยมาติดตลิ่ง แกก็ไปดูใกล้ๆเลยพบว่า
เป็นเด็กผู้ชายตามเนื้อตัวของเด็กเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำเต็มไปหมด แต่เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจว่า ชีพจรยังทำงานปกติ จับดูหน้าอกก็หัวใจเต้น เนื้อตัวก็ยังอุ่นอยู่
ตารีบทำความสะอาดเด็กแล้วเอาน้ำจืดในกระบอกที่เตรียมไว้ดื่มเทลงบนร่างของเด็ก เพื่อชำระคราบน้ำเค็มและตะไคร่ ตาพรหมปฐมพยาบาลจนเด็กรู้สึกตัวได้สติ
แกดีใจและแปลกใจระคนกันไป เลยลืมสัมภาระและกุ้งปลาที่หามาได้จนหมดสิ้น แล้วรีบยกร่างเด็กขึ้นบ่าเพื่อพากลับระหว่างเดินทางก่อนถึงบ้าน
ตาก็ได้หยุดที่บ่อน้ำตักน้ำมาลูบตามเนื้อตัวตัวเด็กอีกครั้งหนึ่งและหยดน้ำให้ดื่มจนเด็กกระปรี้กระเปร่าขึ้นแกอุ้มต่อไปจนถึงบ้าน ด้วยความดีใจตาตะโกนเรียกยายจันให้ลงมาดูโดยที่ตนยังไม่ได้ขึ้นบันได
ตาขึ้นบนบ้านวางเด็กให้นอนดื่มน้ำดื่มท่ายายต้มน้ำอุ่นอาบให้เด็ก พร้อมกับประแป้งแต่งกายให้เรียบร้อย ตาตั้งสติได้เลยเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปที่ได้นำเด็กมาจนยายเข้าใจเวลาล่วงเลยไปหลายวัน ตายายเลี้ยงดูเด็กเป็นอย่างจนดีปลอดภัยแข็งแรงขึ้นมีอาการปกติทุกประการตายายสังเกตดูบุคลิกลักษณะ
ผิวพรรณ รูปร่าง หน้าตาและคำพูดจาของเด็กแล้ว
ทั้งสองรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก โดยเฉพาะคำพูดสำนวนน้ำเสียงอ่อนหวานตาและยายไม่เคยได้ยินมาก่อน
เพียงแต่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ตาและยายสอบถามความเป็นมาของเด็กว่าเป็นมาอย่างไรเป็นบุตรของใครเด็กเล่าให้ตาและยายฟังพอจับใจความได้ว่าเขาคือพระหน่อ ราชโอรสของกษัตริย์เมืองเหนือ
เมื่อตาและยายได้รับทราบดังนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสได้เลี้ยงดูราชโอรสคิดว่าเป็นบุญวาสนาของตนทั้งสองตา-ยายได้ปรึกษาและลงความเห็นว่า
หากเปิดเผยความจริงให้ใครรู้ว่าเด็กที่ตาและยายเลี้ยงคือพระหน่อ เป็นโอรสของกษัตริย์ อาจเป็นอันตรายแก่พระหน่อได้ จึงอธิบายให้พระหน่อเข้าใจและพร้อมใจกันปกเปิดความจริงเอาไว้ข่าวของตาพรหม-ยายจันพบเด็กแล้วนำมาเลี้ยงไว้ที่บ้านเผยแพร่ไปจนเพื่อนบ้านใกล้ไกลในละแวกนั้นทราบกันทั่วไป
จนคนในละแวกนั้นมาเยี่ยมเยือนมากมายยิ่งเห็นบุคลิกลักษณะไพเราะอ่อนหวาน จึงทำให้เกิดความเคารพนับถือ ยำเกรงก็เข้าใจว่าเด็กคนนี้มีบุญญาบารมี บางคนเจ็บไข้ได้ป่วย มีความทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจ ได้มีโอกาสพูดคุยกับพระหน่อตามอัธยาศัยก็สามารถหายไข้ คลายทุกข์บางคนปรารถนาสิ่งใด ได้อธิฐานบนบานก็ได้รับผลสำเร็จ เมื่อเกิดเหตุอัศจรรย์และมีปฏิหารเช่นนี้ประชาชนทั่วไปต่างให้ความเคารพนับถือพระหน่อเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ
ต่างก็มากราบไว้และนำสิ่งของมาฝากทำให้ตายายเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปเช่นกัน และฐานะตา-ยายก็ดีขึ้นตามลำดับ อยู่มาวันหนึ่ง
ตาและยายออกไปธุระนอกบ้านปล่อยให้พระหน่อเฝ้าบ้านคนเดียวพบมหาดเล็กที่เจ้าอยู่หัวให้มาติดตามพระหน่อเดินทางมาถึงบ้าน
ตา-ยายและช่วยกันไล่จับไก่พระหน่อได้ยินจึงพูดทักทายห้ามปรามว่า ไล่จับไก่ทำไม
พวกทหารได้ยินเสียงนั้นถึงกับชะงัก
เพราะเป็นสำเนียงที่คุ้นหู
และไม่ใช่เป็นเสียงคนในละแวกนี้แน่
จึงพากันขึ้นไปบนเรือนและขอน้ำดื่ม
พวกทหารต่างสังเกตพฤติกรรมของพระหน่อแล้ว
ต่างก็มั่นใจว่าเด็กคนนี้คือพระหน่อแน่นอน
เพียงแต่ผิวพรรณหมองคล้ำแต่งกายแบบชาวบ้านทั่วไป เพราะอยู่บ้านไร่ปลายนาเสียนาน เมื่อมั่นใจแน่นอนแล้ว
พวกทหารมหาดเล็กต่างก็หมอบลงกราบบังคมทูลให้พระหน่อทราบว่าพวกตนได้รับมอบหมายจากพระเจ้าอยู่และพระราชินีให้ออกติดตามหาพระหน่อเพื่อกลับพระราชวัง พระหน่อสังเกตเหล่าทหารและมหาดเล็กที่กราบทูล
ทรงมั่นพระทัยว่าเป็นข้าราชการสำนักของราชบิดาและไม่เป็นอันตรายกับพระองศ์แน่จึงยอมรับและเล่าเหตุการณ์ต่างๆ
ที่ได้มาอยู่กับตา-ยายให้พวกทหารมหาดเล็กฟัง
และก็จะตัดสินใจอย่างไรให้รอจนกว่าตา-ยายกลับมาบ้านก่อน แล้วจึงปรึกษาหารือกัน ตกเย็น
ตา-ยายกลับมาถึงบ้าน เห็นผู้คนแปลกหน้าอยู่หน้าบ้านหลายคน เป็นชายหนุ่มและแต่งกายไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดา
เลยคิดไปว่าคงเกิดเหตุร้ายกับพระหน่อแน่แต่ก็โล่งอกเมื่อเห็นพระหน่อออกมาต้อนรับด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส
และรับสัมภาระจากตา-ยายเก็บเข้าที่ เอาน้ำมาให้ตา-ยาย ถึงอย่างไรก็ตาม ตา-ยายยังไม่หายกังวลอยู่ดีตา-ยายดื่มน้ำเสร็จนั่งพักพอหายเหนื่อย
พระหน่อก็แนะนำให้เหล่าทหารรู้จักทำความเคารพตา-ยาย
แล้วเล่าเหตุการณ์พร้อมกับบอกจุดประสงค์ของพวกทหารมหาดเล็กที่มาที่นี่ ตา-ยาย
เมื่อทราบว่าพวกทหารติดตามมาเพื่อจะกลับเมืองหลวงต่างก็เสียใจเป็นอย่างยิ่ง
มีความตื้นตันใจสับสนไปหมด
เพราะต่างรักพระหน่อเหมือนลูกในอุทรพระหน่อเป็นแก้วตาดวงใจของตา-ยายและคนในท้องถิ่นนี้
ที่สุดตา-ยายก็ทำใจได้และร่วมปรึกษากับมหาดเล็กว่า หากจะพาพระหน่อไปเมืองหลวงเลย
เกรงว่าจะเป็นอันตรายและเพื่อความปลอดภัยให้แบ่งทหารออกเป็นสองพวก คือ พวกหนึ่งให้อยู่บ้านตา-ยายเพื่อดูแลอารักขาพระหน่ออยู่ก่อน
อีกพวกหนึ่งให้เดินทางไปกราบทูลให้พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีทรงทราบ ข่าวพวกทหารมหาดเล็กเดินทางมาบ้านตาพรหม-ยายจันเพื่อนำพระหน่อกลับเมืองหลวงทราบถึงชาวบ้านทั่วไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยความศรัทธาต่อพระหน่อที่มีอยู่เดิมแล้วยิ่งทวีคูณขึ้นเป็นลำดับ
ในวันหนึ่งๆประชาชนมาเยี่ยมชมบารมีไม่ขาดระยะบ้างมาเพื่อเยี่ยมชมบารมี
แสดงจงรักภักดี บ้างขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลจนนำให้บ้านของตา-ยายคับแคบไม่ถนัด
พวกทหารมหาดเล็กที่คอยรับใช้พระหน่อ ได้ร่วมมือกับชาวบ้านหมู่บ้านพราหมณ์จันช่วยตัดไม้สร้างบ้านตา-ยายให้กว้างกว่าเดิมแล้วขุดคูรอบบ้านขุดสระสองลูกคือ
สระสังข์แก
กับสระแพรจันสร้างทางจากหมู่บ้านไปทางทิศใต้จรดทะเลสาบเขตหมู่บ้านท่าทอง(ท่าทองหมายถึงท่าที่มีความอุดม-สมบูรณ์
มีพืชพันธุ์ธัญญาหารสัตว์น้ำนานาชนิด ปัจจุบันเรียกว่าบ้านท่าคุระ หมายถึง ท่าที่มีต้นคุระ)
ทางสายดังกล่าวต่อมาใช้เป็นเส้นทางนำซากศพไปเผาหรือฝังในป่าช้า
ชาวบ้านเลยเรียกว่าทางผีติดปากจนถึงปัจจุบันซึ่งปรากฏหลักฐานให้รุ่นหลังเห็นจนตราบทุกวันนี้
ฝ่ายทหารมหาดเล็กที่เดินทางกลับเมือง
เมื่อเดินทางถึงได้เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลให้พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบซึ่งเป็นที่ปลาบปลื้มปิติยินดีทั้งสองพระองศ์
และ
ข้าราชบริภารทั้งหลายพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งให้โหราธิบดีตรวจดูฤกษ์ยามตามประเพณีนิยมและขบวนทหารเครื่องอุปโภค
ตลอดจนโขนหนังการละเล่นต่างๆอย่างครบครัวออกเดินทางสู่ทิศใต้จุดหมายคือหมู่บ้านพราหมณ์จันบ้านของตาพรหมยายจัน
ขบวนเดินทางมาถึงบ้านแล ล้วนมุ่งตรงไปทิศตะตกวันตกถึงบ้านโหมรง หรือสำโรง
หรือวัดเก่า ปัจจุบันเรียกว่าบ้านบ่อใหม่ มีพื้นที่กว้างขวางดินทรายขาวสะอาด
ต้นไม้เป็นทิวแถบร่มรื่นและอยู่ไม่ไกลจากบ้านพราหมณ์จันมากนัก
พระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสให้พวกทหารปลูกสร้างพลับพลาประทับ
กษัตริย์ทั้งสองประทับที่พลับพลาหนึ่งคืนแล้วนำเหล่าทหารจำนวนหนึ่งเสร็จไปตา-ยาย
เมื่อพระราชบิดา-มารดาได้พบพระโอรสต่างก็ปิติยินดีเป็นล้นพ้นจนน้ำพระเนตรไหลกษัตริย์ทั้งสองขอพระหน่อจากตา-ยายเสร็จไปที่พลับพลา
พระหน่อขออนุญาตให้ตา-ยาย ติดตามไปกับขบวนด้วย
เมื่อถึงพลับพลาพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งให้โหราธิบดีดูฤกษ์ยามเพื่อจัดสมโภชรับขวัญพระหน่อ
โหราธิบดีตรวจดูแล้ววันที่เป็นมงคลที่สุดคือวันพุธ แรมหนึ่งค่ำเดือนหก
ประชาชนทั่วไปเมื่อทราบว่ากษัตริย์เมืองเหนือได้ติดตามพระโอรสมาและจัดทำพิธีสมโภชรับขวัญ ต่างก็จัดการทำอาหารหวานคาวมาร่วมพิธีกันคับคั่ง พิธีเริ่มวันพุธ
แรมหนึ่งค่ำพระสงฆ์ทำพิธีเป็นอันเสร็จพิธีรับขวัญพระหน่อ
เมื่อทำพิธีรับขวัญพระหน่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พระมหากษัตริย์ทั้งสองจำเป็นที่จะนำพระหน่อกลับเมืองหลวง ซึ่งนำความโศกเศร้าเสียใจแก่ตา-ยาย เป็นอย่างมากพระราชินีนึกตระหนักถึงความรักที่ตา-ยาย
มีต่อพระหน่อ
และความจงรักภักดีที่ชาวบ้านมีต่อพระหน่อพระองค์ซาบซึ้งเป็นที่สุด
ก่อนจากไปพระองค์ได้รับสั่งให้นายช่างทำทองตีทองให้แผ่นกว้างแล้วสลักรูปของพระหน่อลงในแผ่นทองนั้นมอบให้ตาพรหมและยายจันด้วยความซาบซึ้งน้ำพระทัยพระราชินี
ตา-ยายและเรียกแผ่นทองคำสลักพระหน่อว่าเจ้าแม่อยู่หัว
เหตุผลเพราะพระราชินีหรือเจ้าแม่อยู่หัวเป็นผู้มอบให้ ส่วนสถานที่สร้างพลับเพลาพระราชินีก็ได้ทรงขออนุญาตต่อพระเจ้าอยู่หัวสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นบุญกุศลและมอบให้ชาวบ้านละแวกนั้นที่จงรักภักดีต่อพระหน่อ ชื่อว่าวัดเจ้าแม่ ต่อมาเพี้ยนเป็นวัดชะแม และเลื่อนไปอยู่ทางทิศเหนือ ส่วนวัดเจ้าแม่เก่า ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนวัดชะแม ตำบลดีหลวง
มีต้นโพธิ์เป็นหลักฐาน
บางคนมีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์
ได้ไปบนบานศาลกล่าวที่ต้นโพธิ์ดังกล่าวตามหลักฐานในพงศาวดารเมืองพัทลุงว่า ในสมัยออกขุนเทพตำรวจเป็นเจ้าเมืองพัทลุง
(อำเภอสทิงพระ) มีผู้ศรัทธาสร้างเจดีย์วิหารหลายวัด เช่น
พระมหาเทพ
สร้างพระวิหารและเจดีย์วัดแจระ ( หัวแจระ )
พระนครธรรมรังสี ลำราม
สร้างพระวิหารวัดเบิก
พระครูพิชัย สร้างพระวิหารวัดชะแม
พระมหาเถรพรหม สร้างพระวิหารวัดมีไชย ( สนามไชย
)
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีได้จัดการภารกิจต่างๆตามประสงค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเสด็จกลับพระราชวังพร้อมด้วยพระหน่อ
ตาพรหมกับยายจันยังอยู่ที่หมู่บ้านพราหมณ์จันเหมือนเดิม
เก็บรักษารูปสลักของพระหน่อในแผ่นทองคำไว้อย่างดีแม้ไม่มีพระหน่อตัวจริงแล้วก็ตามแต่ประชาชนทั่วไปยังให้ความเคารพนับถือบนบานตามที่เคยกระทำมาเหมือนตอนที่พระหน่อยังอยู่และได้รับผลสำเร็จทุกประการ
ตา-ยาย และชาวบ้านจึงพร้อมใจกันยึดถือเอาวันพุธแรกข้างแรม เดือนหก
ตามที่พระเจ้าอยู่หัวจัดพิธีสมโภชรับขวัญพระหน่อ
กลางคืนมีมโนราห์แสดงให้ชมรุ่งเช้าวันพฤหัส ใครบนบานศาลกล่าวว่าไว้อย่างไรก็แก้บนเสีย เช่น บางคนบนไว้รำมโนราห์ บนบวชชีก็แล้วแต่ พระหน่อเจริญวัยคิดถึงตา-ยาย
ด้วยความกตัญญูกตเวทีและมีพระเมตตา
จึงกราบบังคมทูลบิดา-มารดาเสด็จมาเยี่ยมตา-ยายและจะรับไปอยู่ด้วยในฐานะพระประยูรญาติผู้ใหญ่ในพระบรมราชวังด้วยกษัตริย์ทั้งสองเห็นด้วยกับพระราชโอรสและได้ร่วมเสด็จเยี่ยมตา-ยายด้วย
ตา-ยายเมื่อกษัตริย์มาเยี่ยมถึงบ้านรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกราษฎรทั่วไปก็เข้ารับเสด็จอย่างพร้อมเพรียงด้วยความจงรักภักดี
พระหน่อได้แจ้งถึงจุดประสงค์ที่มาเยี่ยมครั้งนี้
เพราะเห็นว่าตา-ยาย
ชราภาพมากแล้วสมควรไปอยู่ที่สบายๆมีคนควรดูแลอย่างใกล้ชิด
หากปล่อยให้ตา-ยายยังอยู่ในหมู่บ้านพราหมณ์จันพระองค์จะมาเยี่ยมบ่อยๆ
ก็ไม่สะดวก ตา-ยายรักหวงแหนแผ่นดินเกิดและญาติพี่น้องสักปานใดก็ตามแต่เข้าใจในความปรารถนาและซึ้งน้ำใจพระหน่อที่กตัญญู เลยจำใจต้องรับคำ และก่อนไปตา-ยาย
จึงทูลขอให้พระเจ้าอยู่หัวพระราชินีและพระหน่อได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งซึ่งอยู่ทิศใต้ของหมู่บ้านพราหมณ์จันสลักรูปพระหน่อมาไว้ในวัดโดยให้เจ้าอาวาสและประชาชนในหมู่บ้านช่วยกันรักษา เหตุผลที่ตา-ยาย
เลือกเอาท่าคุระตั้งวัดเพราะวัดท่าคุระสมัยนั้นสะดวกในการเดินทางลูกหลานฝั่งตระวันตกตะวันออก
ทางใต้ที่รู้กิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิของเจ้าแม่อยู่หัวได้มาร่วมพิธีได้สะดวก เมื่อสร้างวัดและพิธีฉลองเสร็จตา-ยาย
ต้องเดินทางไปอยู่ในเมืองหลวงกับพระหน่อ
วัดท่าคุระบางคนเรียกว่า วัดท่าทองบ้าง
วัดตายายบ้าง เหตุที่เรียกว่าวัดตายายคงเป็นเพราะตา-ยาย เป็นผู้ริเริ่มกระมัง ต่อมาด้วยความโลภเห็นแก่ส่วนตน ผู้ที่เคารพศรัทธาบางคนที่ใกล้ชิดขอตัดแผ่นทองคำคนละนิดละหน่อย
เพื่อนำไปบูชาที่บ้านตนเองหรือบางคนขโมยไปขาย ทำสร้อยคอ
ทำกำไล ใช้ประโยชน์ส่วนตนทำให้แผ่นทองคำนั้นสึกกร่อนลงไปทุกที คนที่นำไปทำสร้อยทำกำไล ทำต่างหู
ทำให้เกิดแผลพุพอง เน่าเปื่อยตามคอ
หู หรือข้อมือ หรือมีเหตุเป็นไปต่างๆ นาๆ เลยทำให้บุคลเหล่านั้นเกิดความกลัว เลยนำกลับมาไว้ที่เดิม ความทราบถึงพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี
และพระหน่อ
เลยตรัสให้เอาทองคำที่เหลือเหล่านั้น
หล่อเป็นพระพุทธรูปเก็บไว้ในผอบอย่างดี
ในปีหนึ่งลูกหลานสามารถเห็นพระพุทธรูปแม่เจ้าอยู่หัวได้ครั้งเดียวตอนสรงน้ำ ในวันพุธแรกข้างแรมเดือนหกเท่านั้น
ซึ่งทำติต่อกันมานับร้อยปีมาแล้วและลูกหลานเจ้าแม่อยู่หัวเราต้องรักษาประเพณีสืบไป
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล// จากเว็บไซต์โนราต่าง
ศึกษาข้อมูลโดย // โนราบรรดาศักดิ์ พิทักษ์ศิลป์ จังหวัดสงขลา
ศึกษาข้อมูลโดย // โนราบรรดาศักดิ์ พิทักษ์ศิลป์ จังหวัดสงขลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น