วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โนราโรงครู ตอนส่งราชครูโนราครูหมอโนราสู่โลกวิญญาณ


 โนราโรงครู ตอนส่งราชครูโนราครูหมอโนราสู่โลกวิญญาณ
                            ในวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันส่งครู โนราจะต้องใช้ความรู้ความเชิงไสยศาสตร์อย่างเต็มที่ เพื่อส่งวิญญาณตายายกลับสู่ภพวิญญาณอย่างสงบสุข และกำจัดวิญญาณฝ่ายร้ายที่เจ้าบ้านไม่ต้องการไม่ให้มาวนเวียนอยู่ใกล้บ้านเจ้าภาพ

                             เนื่องจากผีในวัฒนธรรมภาคใต้มีหลายพวก เมื่อทำพิธีชุมนุมครูในวันแรก จะมีทั้งผีที่ต้องการและไม่ต้องการให้มาร่วมงาน ผีที่ต้องการให้เข้าร่วมพิธีก็เช่น ผีเทวดา หรือผีตายาย จะสามารถเข้ามาอาศัยในโรงโนราได้ ส่วนผีที่ไม่ต้องการ เช่น ผีตายโหง ผีไม่มีญาติ จะอยู่ด้านนอก ในวันส่งครู โนราจะต้องส่งผีกลับสู่โลกวิญญาณ ห้ามมายุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์ ถ้าเป็นผีฝ่ายดีอย่างผีครูหมอ ผีทิศ ก็พอจะขอร้องกันได้ ไม่ต้องตีต้องไล่ แต่ถ้าเป็นผีฝ่ายร้าย พวกผีตายพรายตายโหงจะเป็นพวกที่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องและไม่ค่อยยอมไป บางครั้งต้องใช้ไม้หวายตีขับไล่ เพื่อให้มั่นใจว่าส่งกลับสู่โลกวิญญาณไปหมดแล้ว ถ้าโนรามีอาคมไม่เก่งพอ ไล่ผีไม่ไป ผีจะวนเวียนเกาะกินความสุขความเจริญ ของเจ้าบ้านจนล่มจมไปในที่สุด

                            หนทางแก้ไขมีทางเดียวคือ ต้องเชิญคณะโนราที่เก่งกว่ามาทำพิธีแก้ ด้วยเหตุนี้พิธีส่งครู จึงเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของเจ้าภาพ ช่วงเช้าโนราจะต้องเชิญตายายทั้งหมดมา "จับลง" ที่ร่างของทรงอีกครั้ง แต่คราวนี้จะเชิญตายายทุกองค์พร้อมกันเพื่อมารับเครื่องเซ่นเป็นครั้งสุดท้าย และนัดหมายวันเวลาประกอบพิธีโรงครูครั้งต่อไป ร่างทรงในวันนี้จึงเป็นร่างของตายายรวม ๆ กัน เวลาจะกินเครื่องเซ่นหรือ "เหวยหมรับ" ร่างทรงจะต้องอมเทียน เท่ากับจำนวนตายายที่มาเข้าทรงพร้อมกัน ต่อจากนั้น จึงถึงเวลารำส่งครู เริ่มจากแสดงละครสั้นประมาณ ๒๐ นาที และร่ายรำประกอบบทนางนกจอกซึ่งมีเนื้อหาเศร้าสะเทือนใจ ทำเอาลูกหลานบางคนถึงกับน้ำตาคลอและใจหายกับการลาจากครั้งนี้
                            พิธีกรรมโนราโรงครูนี้ เป็นพิธีกรรมแห่งการผูกมัดและตัดขาด คือ พิธีจะค่อย ๆ สร้างความผูกมัดเป็นระยะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และตัดขาดในวันสุดท้าย เริ่มตั้งแต่การปลูกโรง โครงสร้างต่าง ๆ เชื่อมต่อกันด้วยการมัด ไม่ใช้การตอกตะปู เมื่อเข้าสู่พิธีกรรมวันแรกจนถึงวันที่ ๒ โนราจะกล่าวถึงความผูกพันกับพ่อแม่ครูอาจารย์ แทรกอยู่ในบทร้อง และบทรำ และเมื่อเข้าสู่วันส่งครู บทร้องก็จะมีเนื้อหาในเชิงลาจาก โนราจะต้องทำพิธีตัดโครงสร้างบางส่วนของโรงออก เพื่อแสดงถึงการตัดขาด ทว่าการตัดขาดไม่ได้หมายความว่าเลิกเคารพผีบรรพบุรุษ แต่เป็นการตัดขาดจากเรื่องที่บนบานไหว้ และตัดขาดจากความอาลัยอาวรณ์ เพื่อให้วิญญาณกลับไปอยู่ภพของตน ลูกหลานได้กลับไปใช้ชีวิตตามปรกติ

                            สัญลักษณ์ของการตัดขาดคือสับจีบหมากพลู และเทียนอันเป็นเครื่องบูชาบรรพบุรุษออก อย่างไร้เยื่อใย ปีนขึ้นไปบนพาไลเพื่อ ตัดจาก บนหลังคาออกสามตับ และเปิดออกไปด้านนอกจนเห็นท้องฟ้าเพื่อส่งวิญญาณ หลังจากนั้นจึงกลับลงมาที่สาดคล้า ซึ่งเป็นตัวแทนของแผ่นดินที่ตายายสิงสถิต พลิกสาดกลับอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้โลกวิญญาณและโลกปัจจุบันหลุดขาดออกจากกัน ระหว่างนั้นนายโรงจะว่า "คาถาตัดหนวด" ซึ่งเป็นคาถาที่ใช้ในการแก้บนให้ขาด หากโนราไม่รู้คาถานี้จะทำพิธีโรงครูไม่ได้ เพราะจะทำให้พันธะสัญญา ระหว่างเจ้าบ้านกับตายายไม่ขาดจากกัน ตายายจะมาตามทวงสัญญาจนลูกหลานอยู่ไม่สงบ และต้องเสียเงินทำพิธีโรงครู เพื่อแก้บนให้ขาดอีกครั้ง
                            เมื่อส่งวิญญาณตายายเรียบร้อยแล้ว นายโรงจะทำพิธีไล่ผีที่ไม่ต้องการ โดยตัดชิ้นส่วนเครื่องเซ่นโยนให้ผีที่อยู่ด้านใต้พาไล เพื่อให้ผีออกไปทางนั้น หากใครเผลอไปยืนใต้พาไลเข้าจะถูกโนราเอ็ดเสียงดังเพราะเป็นทางผีผ่าน เมื่อส่งวิญญาณและไล่ผีเรียบร้อยแล้ว นายโรงก็ดับเทียนไขทุกดวงเพื่อยุติการติดต่อกับโลกวิญญาณ ถือเป็นอันเสร็จพิธี

                            สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ แม้ว่าความเชื่อเรื่องตายาย จะยังไม่จางหายไปจากจิตใจ ของลูกหลานโนรา แต่ความนิยมในการตั้งโรงครูแบบดั้งเดิมอาจลดน้อยลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการนี้แต่ละครั้งค่อนข้างสูง ชาวบ้านหลายคนจึงหันไปประกอบพิธีกรรมรูปแบบอื่น ที่สามารถตอบสนองความต้องการทางจิตใจ ตามฐานะทางเศรษฐกิจของตนได้
ขอขอบคุณเนื้อหาโดยคุณวันดี สันติวุฒิเมธี
ศึกษารายละเอียดและข้อมูลโดย โนราบรรดาศักดิ์   พิทักษ์ศิลป์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น