โนรา
ศาสตร์แห่งการรักษาโรค
"เอวองค์ยามอ่อนช่างอ้อยอิ่ง ยามเยื้องยิ่งแกว่งกวัดสะบัดไหว
ปะ ทิง เทิ่ง
เทิ่ง ปะ ประโคมไป อ่อนแข็งเคลื่อนไหวได้สมงาม
รู้ฝืนรู้ปรับบังคับร่าง เป็นท่าทางคล้องใจให้ไหวหวาม
สีหน้าสื่อบทบาทวาดร่างตาม สืบความงามตามอย่างทางโนรา"
รู้ฝืนรู้ปรับบังคับร่าง เป็นท่าทางคล้องใจให้ไหวหวาม
สีหน้าสื่อบทบาทวาดร่างตาม สืบความงามตามอย่างทางโนรา"
สุรินทร์ มุขศรี : ประพันธ์
(คัดจาก นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” : ๒๕๔๐)
“มโนห์รา” หรือ “โนรา”
ตามความเข้าใจของคนทั่วไปหมายถึง
มหรสพพื้นบ้านที่มีการสืบทอดมาอย่างยาวนานและเป็นที่นิยมแพร่หลายในท้องถิ่นทางภาคใต้มาแต่อดีต
โดยถือเป็นการละเล่นที่มีลีลาร่ายรำประกอบจังหวะและมีท่วงทำนองเร่าร้อน
เน้นเครื่องดนตรีประเภทตีและเป่าซึ่งให้ความสำคัญกับการร่ายรำเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือการทำบท (แสดงท่าทางประกอบบทร้อง)
ซึ่งมีการเล่นเป็นกลอน มีทั้งกลอนที่แต่งเอาไว้ก่อนแล้วและกลอนมุดโต (กลอนสด) โดยใช้คำร้องเป็นภาษาถิ่นทางใต้ บางโอกาสก็มีการแสดงตามคติความเชื่อในลักษณะของพิธีกรรมต่างๆ
ขณะที่บางโอกาสก็แสดงเป็นเรื่อง สำหรับเรื่องที่จะเล่นนั้นมักให้ความสำคัญเป็นอันดับสุดท้ายเหตุนี้ หากมองแค่เพียงผิวผ่าน “โนรา” ก็คือ “ศิลปะเพื่อความบันเทิง” ประเภทหนึ่งเท่านั้น แต่หากมีการศึกษาให้ลงลึกถึงแก่นแกนของความจริงแล้วจะพบว่า ภายใต้ความงดงามของศิลปะแห่งบทร้องและการร่ายรำนั้น “โนรา” ยังมีความลึกลับซับซ้อน ถือเป็นลักษณะของวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มีรากฐานของความเชื่อโดยผ่านโลกทัศน์ของชาวบ้านอันสามารถบันดาลให้เกิดความสุขหรือความทุกข์ได้ โดยเฉพาะการเจ็บป่วย “โนรา” ได้เข้ามามีบทบาททั้งในด้านของผู้ที่เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและในด้านของผู้ที่ให้การรักษาเยียวยาโดยผ่านขั้นตอนของพิธีกรรมที่ละเอียดอ่อน เป็นรูปแบบการรักษาเยียวยาที่มีความน่าสนใจและน่าศึกษายิ่ง
โรคหรืออาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเนื่องจากอำนาจของครูหมอโนรา
โรคหรืออาการเจ็บป่วยที่ชาวไทยภาคใต้มีความเชื่อว่าเกิดจากอำนาจหรือการกระทำของสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ ในกรณีนี้หมายถึง “ครูหมอโนรา” (ครูหมอโนราถือเป็นบรรพบุรุษของโนรา สามารถรำโนราได้ คนไทยทางภาคใต้ส่วนใหญ่มีบรรพบุรุษเป็นโนรา
เพราะเชื่อว่าเป็นศิลปะชั้นสูง มีต้นกำเนิดมาจากกษัตริย์
คนที่จะรำโนราได้จึงหมายถึงเป็นคนที่มีบุญญาบารมี ดังนั้นในอดีตคนส่วนใหญ่จึงมีการหัดรำโนรากันโดยเหตุนี้ทำให้คนไทยทางภาคใต้มักมีเชื้อสายของโนรา) ซึ่งการจะหายขาดได้นั้นต้องได้รับการยินยอมจากครูหมอโนราก่อน เมื่อผู้ใดเกิดการเจ็บป่วยหรือมีอาการที่เชื่อว่าครูหมอโนราเป็นผู้กระทำก็จะมีพิธีกรรมเฉพาะสำหรับการเยียวยารักษาหรือแก้ไขภาวะการเจ็บป่วยนั้น
โดยผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยสามารถติดต่อครูหมอผู้กระทำโดยผ่านร่างทรงเพื่อให้ครูหมอยินยอมรักษาเยียวยาและยกโทษให้ โรคหรืออาการเจ็บป่วยนั้นมีลักษณะเฉพาะตามความเชื่อซึ่งชาวไทยทางภาคใต้ได้ให้ความหมายของโรคหรืออาการนั้นว่า “โนราย่าง” (โนราย่าง (มโนห์ราย่าง) เป็นอาการที่บุคคลป่วยกระเสาะกระแสะ เนื่องจากครูหมอโนราให้โทษ จะรักษาเยียวยาหรือหาหมอหรือทำการรักษาอย่างไรก็ไม่หาย อาการมีแต่ทรงกับทรุดแต่จะไม่ถึงตาย ส่วนใหญ่มักซูบผอมไม่ยอมกินข้าวกินปลา
ซักถามสิ่งใดก็ไม่ค่อยพูดหรือพูดแต่จับใจความไม่ได้ ร่างกายมีสภาพเขียวคล้ำคล้ายผิวเกรียมไหม้) ซึ่งอาการเช่นนี้ชาวบ้านมีความเชื่อกันว่า
อาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งต่อไปนี้
๑. ลูกหลานผู้สืบเชื้อสายของครูหมอโนราไม่บวงสรวงสักการะบูชาครูหมอโนราซึ่งถือเป็นเชื้อสายต้นหรือขาดการเซ่นไหว้ครูตามวาระที่เคยปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่น
เดิมเคยจัดบวงสรวงทุกๆ ๒ ปี แต่เมื่อครบกำหนดกลับไม่มีการจัดบวงสรวง ก็จะมีเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยได้
๒. ได้มีการบนบานต่อครูหมอมโนห์ราไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง
ครั้นเป็นจริงตามที่ได้บนบานไว้ก็มิได้มีการแก้บนตามพันธะสัญญา (ซึ่งภาษาทางโนราเรียกพันธะสัญญาว่า
“เหฺมฺรย” (อ่านว่า ม-เหรย โดยออกเสียง “ร” ควบกล้ำ))
เกิดการลงโทษจากครูหมอโนรา
ทำให้เกิดการเจ็บป่วยเนื่องจากการผิดพันธะสัญญานั้นเรียกว่า “ถูกเหฺมฺรย”
๓. มีการกระทำการหรือประพฤติตนที่ไม่เหมาะสม เช่น พูดจาหรือแสดงพฤติกรรมในเชิงดูถูกดูแคลนปรามาศครูหมอหรือกรณีที่หิ้งบูชาเกิดชำรุดหักพังแล้วมิได้มีการซ่อมแซม
นอกจากนี้การเก็บเครื่องดนตรี
เครื่องแต่งกาย
เครื่องประดับของโนราไว้ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น
ใต้ถุนบ้านหรือวางไว้ระเกะระกะ
ไม่เป็นระเบียบ
เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกครูหมอลงโทษได้
อาการเจ็บป่วยที่เกิดจากครูหมอลงโทษจะแตกต่างจากอาการเจ็บป่วยทั่วๆ
ไป เพราะผู้ป่วยมักแสดงอาการหรือกิริยาบางอย่างให้เห็นเป็นนัยๆ
ว่าครูหมอเป็นผู้กระทำ เช่น
นอนละเมอเป็นกาพย์กลอนหรือร้องรำแบบโนรา, ส่งเสียงร้องตกใจว่าจะมีใครมาทำร้าย, บ่นว่าอยากจะกินอาหารที่ครูหมอโปรดปรานเป็นพิเศษเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ตลอดจนมีเหตุการณ์ที่ครูหมอหรือภูติผีอื่นๆ
มาเข้าทรงและบอกให้ทราบถึงสาเหตุของการเจ็บป่วย
เป็นต้น
จากลักษณะเฉพาะของอาการที่ส่อเหตุเป็นนัยๆ
เช่นนี้เอง
ทำให้ญาติพี่น้องหรือผู้ใกล้ชิดของผู้ป่วยต้องหาคนกลางเพื่อมาติดต่อกับครูหมอเรียกขั้นตอนการติดต่อนี้ว่า “การเชื้อ” หมายถึง การเชื้อเชิญครูหมอมาไต่ถามพูดคุยสำหรับคนกลางโดยทั่วไปมักเป็นโนราอาวุโสหรือเป็นหมอยากลางบ้านที่มีความรู้ทางด้านไสยศาสตร์หรือคาถาอาคมมีการค้นหาสาเหตุโดยการสังเกตและสอบถามผู้ใกล้ชิดหรือญาติพี่น้องของผู้ป่วยบางครั้งถึงขั้นเชิญครูหมอมาเข้าทรงเพื่อไต่ถามให้รู้แน่ชัด เมื่อรู้ความแล้วก็ขออภัยโทษต่อครูและให้สัญญาว่า
เมื่ออาการเจ็บป่วยหายเป็นปกติแล้วจะให้ผู้ป่วยกระทำตามที่ครูหมอปรารถนา ซึ่งในพิธีกรรมก็คือการใช้โนรารำแก้บนในพิธี
“โนราลงครู” (“มโนห์ราลงครู” เป็นการแสดงโนราเพื่อเชิญวิญญาณบรรพบุรุษที่เป็นโนรา ซึ่งหมายถึงครูหมอโนรามาเข้าทรงลูกหลานเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษเพื่อความเป็นสวัสดิมงคลแก่ครอบครัว
หรือเพื่อการแก้บนตามที่ได้บนบานไว้
พิธีโนราลงครูอาจจะจัดปีละครั้ง ,ปีเว้นปีหรือ ๓ ปีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับความสะดวกของเจ้าภาพหรือตามความยินยอมผ่อนผันของครูหมอโนราจากการเข้าทรงในครั้งก่อนแต่ห้ามไม่ให้เลิกจัดเพราะครูหมอจะลงโทษ
โอกาสที่จะจัดพิธีนี้มักเป็นช่วงหลังฤดูการเก็บเกี่ยว ดินฝ้าอากาศปลอดโปร่ง
เช่น เดือน ๔ เดือน ๖ หรือเดือน ๙ หรือเดือนมีนาคม พฤษภาคมและเดือนตุลาคมตามเดือนสากล) หากมีการติดต่อกับครูหมอโนราโดยคนกลางแล้วปรากฏว่าผู้ป่วยยังไม่หายจากการเจ็บป่วย ก็จะมีการติดต่อในลักษณะเดิมอีก ๒-๓ ครั้ง
แต่หากไม่ได้ผลอีกก็จะเลิกล้มความคิดว่าการเจ็บป่วยดังกล่าวเกิดจากการกระทำของครูหมอโนรา
ต้องแสวงหาการรักษาอย่างอื่นต่อไป (แต่จากการสอบถามชาวบ้านผู้อาวุโสหลายท่าน ได้คำตอบว่า
ส่วนใหญ่หากได้มีการติดต่อกับครูหมอโนราโดยคนกลางแล้ว ผู้ป่วยมักจะหายทุกราย
และนำไปสู่ขั้นตอนของการใช้โนรารำแก้บนในพิธีโนราลงครูต่อไป)
พิธีกรรมกับกระบวนการรักษาเยียวยา
พิธีกรรมสำคัญๆ
ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาเยียวยามี ๒ พิธีกรรม คือ
๑. พิธีกรรมหาสาเหตุการเจ็บป่วย
หลังจากที่ผู้ป่วยแสดงอาการเจ็บป่วยที่สามารถให้ความหมายเฉพาะว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากการกระทำของครูหมอโนราแล้ว
ญาติผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดก็จะดำเนินการจัดหาคนกลางมาติดต่อกับครูหมอเพื่อทราบสาเหตุของการเจ็บป่วยและต่อรองเพื่อหาวิธีการแก้ไขต่อไป ซึ่งขั้นตอนสำคัญๆ สำหรับพิธีกรรมนี้ มีดังนี้
๑.๑
ตั้งสำรับเพื่อการสักการะครูหมอโนราที่ผู้ป่วยหรือญาติให้ความเคารพนับถือ เรียกการตั้งสำรับนี้ว่า “ที่สิบสอง” หรือ “ข้าวสิบสอง” คือสำรับที่ประกอบด้วยถ้วยตะไล ๑๒ ใบ
ใส่อาหารคาวหวาน ๑๒ ชนิด ใส่เงิน
๑๒ บาท พร้อมทั้งหมากพลู เทียน
ข้าวตอกดอกไม้
๑.๒ เมื่อตั้งสำรับเรียบร้อยแล้ว คนกลางจะทำพิธีเชื้อคือ
การกล่าวเชิญให้ครูหมอมาบอกสาเหตุของการเจ็บป่วย
ขั้นตอนนี้จะมีทั้งคนกลางที่ติดต่อกับครูหมอโนราแล้วนำมาบอกกับผู้ป่วยหรือญาติพี่น้องหรือผู้ใกล้ชิดหรือจะเป็นการเข้าทรงคนกลางเองแล้วให้ผู้ป่วยญาติพี่น้องหรือผู้ใกล้ชิดสอบถามสาเหตุการเจ็บป่วยก็ได้เช่นกัน
๑.๓
เมื่อได้คำตอบแล้วว่าสาเหตุที่ถูกกระทำเกิดจากอะไร ก็จะมีการหาวิธีการแก้ไข
โดยมีข้อกำหนดของพันธะสัญญาว่าต้องหายจากการเจ็บป่วยภายในเวลากี่วัน หลังจากนั้นจะให้ทำอะไรบ้าง
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการรำมโนห์ราแก้บนในพิธีมโนห์ราลงครู (หากไม่หายจากการเจ็บป่วยตามที่มีพันธะสัญญากันไว้ ก็จะไม่มีการดำเนินการตามขั้นตอนใดๆ อีก แต่หากหายตามพันธะสัญญาก็จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนของพิธีกรรมอื่นๆ ต่อไป พร้อมทั้งกำหนดว่าจะดำเนินการแก้บนได้ในช่วงใด)
๒. พิธีกรรมการรำมโนห์ราแก้บน
หลังจากที่มีการตกลงร่วมกันระหว่างคนกลางกับครูหมอโนราแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการ “รำโนราแก้บน” โดยจะจัดในพิธีของโนราลงครูซึ่งเป็นการจัดแสดงเพื่อเชิญวิญญาณบรรพบุรุษที่เป็นครูหมอโนรามาเข้าทรงลูกหลานที่รับอาสาเป็นคนทรงเพื่อแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรษและเพื่อความมีสวัสดิมงคลแก่ชีวิตครอบครัวในระหว่างนี้ก็จะมีการรำโนราถวายเพื่อแก้บนตามที่ได้สัญญากันไว้
หากไม่กระทำตามสัญญาก็อาจจะถูกลงโทษซ้ำอีก โดยอาการเจ็บป่วยอาจจะเหมือนเดิมหรืออาจจะรุนแรงกว่าเดิมก็ได้ ซึ่งขั้นตอนต่างๆ ในพิธีกรรมนี้ มีดังนี้
๒.๑
เมื่อถึงกำหนดวันที่จะดำเนินการรำโนราลงครูเพื่อแก้บนแล้ว ก็จะมีการสร้างโรงโนรา ตั้งเครื่องบวงสรวงและเครื่องเซ่นไหว้บูชา โดยเครื่องบวงสรวง ประกอบด้วย หัวหมู
ไก่ เหล้า หมาก
พลู บุหรี่ ธูป
เทียน ข้าวตอก ดอกไม้
ของคาว ของหวานและมะพร้าวอ่อน รวมแล้วครบจำนวน ๑๒ อย่าง ส่วนเครื่องเซ่นไหว้บูชาประกอบด้วย บายศรีและดอกไม้ธูปเทียน หลังจากที่ครูหมอเข้าทรงแล้วจะต้องขึ้นไปสำรวจเครื่องบวงสรวงบูชาเหล่านี้
(เครื่องบวงสรวงจะวางไว้บนศาลาเล็กๆ
บนโรงโนราทางทิศตะวันออก
ซึ่งต้องทำเป็นบันไดทอดเอาไว้ทางซ้ายมือของศาลาเพื่อให้ครูหมอที่เข้าทรงปีนขึ้นมาสำรวจเครื่องบวงสรวงบูชาได้สะดวก ส่วนทางขวามือของศาลาจะมี “เทริด” “หน้าพราน” และ “เครื่องแต่งตัวโนรา”
ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยแขวนไว้เพื่อเป็นเครื่องบูชา)
๒.๒ วันแรกของพิธีกรรม (พิธีการของการลงโรง
ครูโนราจะต้องเข้าประจำโรงในวันพุธตอนเย็น
ซึ่งตามปกติจะสิ้นสุดรายการในวันศุกร์ตอนบ่ายหรือตอนเย็น
หากวันศุกร์ตรงกับวันพระก็ไม่สามารถทำพิธีได้
ต้องหยุดและเลื่อนไปทำพิธีส่งครูหมออันเป็นขั้นตอนของการลาโรงในวันเสาร์ซึ่งถือเป็นวันเสร็จพิธีแทน)
ในวันแรกของพิธีกรรมนี้จะมีการแสดงโนราให้คนดูเหมือนกับการแสดงในโอกาสธรรมดาที่เป็นการละเล่นหรือมหรสพทั่วๆ
ไป การแสดงเริ่มตั้งแต่ตอนพลบค่ำจนถึงดึกถึงจะเลิก
วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันพฤหัสบดีจะเป็นวันเริ่มพิธีลงครู
โดยวันนี้จะมีการรำไหว้ครูตลอดครึ่งวันตอนช่วงเช้า (เรียกการรำไหว้ครูนี้ว่า “แต่งพอก” ในการรำแก้บนจะขาดขั้นตอนนี้ไปไม่ได้
เพราะหากไม่ได้มีการแต่งพอก การแก้บนนั้นก็จะไม่สำเร็จ
โอกาสที่จะกลับมาเจ็บป่วยอีกมีความเป็นไปได้สูง
ที่สำคัญโนราที่มีสิทธิ์ในการรำลงครูต้องเป็น “โนราใหญ่”
(มโนห์ราที่ผ่านการปวารณาเป็นโนราโดยสมบูรณ์แล้ว โดยผ่านการบวชโนราแล้ว คือ มีการผูกข้อมือ ผูกผ้าและครอบเทริด) เท่านั้น)
๒.๓ หลังจากรำแต่งพอกเสร็จ
ต่อจากนั้นก็เริ่มพิธีเชิญครูหมอโนราเข้าทรงโดยโนราใหญ่จะรำโดยใช้ “ท่ารำเพลงครู ๑๒ ท่า” ประกอบการ “เล่นบท ๑๒” (บท ๑๒ นี้ ถือเป็นเพลงครู
ผู้เล่นบทนี้จะหยิบยกเอานิยาย ๑๒ เรื่องมาเล่น ทำบทเพลงทับ
เพลงโทน อย่างละเรื่องๆสั้นๆ
เพื่อเป็นการสักการะครู หากไม่มีการเล่นบท
๑๒ ในขั้นตอนนี้ถือว่าพิธีไม่สมบูรณ์
การแก้บนหรือการแก้เหฺมฺรยซึ่งเป็นพันธะสัญญาจะไม่เป็นผล อาการเจ็บป่วยจะไม่หายขาด) หลังจากนั้นโนราใหญ่จะขับร้องบทเชื้อครูหมอโนรามาเข้าทรง
(โดยปกติมีคนทรงประจำอยู่แล้ว
แต่หากคนทรงตายไปก่อนจะต้องเลือกคนทรงใหม่ทดแทน) ลูกหลานที่เป็นเชื้อสายของครูหมอจะต้องมานั่งพร้อมหน้ากันเพื่อรอรับครูหมอซึ่งเป็นบรรพบุรุษของตน
เมื่อโนราใหญ่ขับร้องบทเชื้อครูหมอ
ดนตรีจะทำเพลงเชิดประกอบ
ถึงตอนนี้ร่างกายคนทรงจะสั่นแสดงว่าครูหมอเริ่มมาเข้าทรงแล้ว เรียกขั้นตอนนี้ว่า “จับลง”
๒.๔ หลังจากมีการเชื้อแล้ว ครูหมอจะเริ่มมาเข้าทรง
โดยเริ่มจากครูหมอที่เป็นบรรพบุรุษร่วมของทุกตระกูล ซึ่งมโนห์ราผู้เป็นผู้เชื้อจะรู้ดีว่ามีใครบ้าง อาทิ ตาหมอเทพ ตาหมอเฒ่า ตาเทพสิงขร ฯลฯ
จากนั้นก็จะเชิญครูหมอที่ผู้ป่วยเคารพบูชามาทรง
ซึ่งการเชื้อนี้ต้องเชื้อมาเข้าทรงทีละองค์ องค์เดิมต้อง “บัด”
(สลัด) หรืออกจากร่างทรงเสียก่อน ถึงจะเชิญครูหมอองค์ต่อไปได้
ครูหมอแต่ละองค์เมื่อจับลงหรือเข้าทรงแล้วก็จะขึ้นศาลที่ได้จัดเตรียมเอาไว้เพื่อตรวจดูเครื่องสักการะบูชา แล้วกลับลงมานั่งเสวยหรือกินเทียน ๓ ครั้ง อาจกินหมากหรือสูบบุหรี่ร่วมด้วย
ต่อจากนั้นก็มีการพูดคุยซักถามลูกหลานถึงเรื่องทั่วๆ ไป ครูหมอบางองค์อาจไม่ขึ้นไปบนศาลแต่จะขอเครื่องทรงมาสวมและมีการร่ายรำตามแบบโนราโบราณให้ลูกหลานหรือผู้ที่อยู่ร่วมในพิธีกรรมดู
๒.๕
ขั้นตอนสุดท้ายของพิธีกรรมรำโนราแก้บนคือ ขั้นตอนในวันสุดท้ายของพิธีลงครู โดยพิธีเริ่มจากการเชื้อครูหมอทุกองค์มาลงอีกครั้งในคนทรงคนเดิม มีการซักถามลูกหลานทั้งปัญหาทั่วๆ
ไปและปัญหาการเจ็บป่วย
มีการนัดแนะพิธีที่จะมีในครั้งต่อไปและตกลงต่อรองระหว่างกันว่าครูหมอต้องการอะไร ให้ลูกหลานทำอย่างไรบ้าง จากนั้นจะมีการสรงน้ำครูหมอร่วมกัน ระหว่างที่ครูหมอเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ลูกหลานที่บนบานอะไรไว้ก็เตรียมแก้บน โดยสำรับต่างๆ
ที่ใช้สำหรับการแก้บนต้องจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
เพื่อที่ครูหมอจะได้เสวยหลังจากที่แต่งตัวเสร็จแล้ว
ต่อจากนั้นจะเป็นการรำโนราแก้บนตามที่ได้ทำพันธะสัญญากันไว้ ซึ่งขั้นตอนนี้โนราใหญ่จะต้องมีการ “รำคล้องหงส์”และ “รำแทงเข้” (แทงจระเข้)
ด้วย จึงจะถือว่า “เหฺมฺรยขาด” หรือเป็นการหมดพันธะสัญญาต่อกัน
หลังจากนั้นลูกหลานจะเข้าไปหมอบกราบครูหมอเพื่อขอศีลขอพรโดยทั่วกันการรักษาเยียวยาก็ถือว่าเสร็จสิ้นอย่างแท้จริง
หลังจากหมดกิจธุระหรือเรื่องราวระหว่างกันแล้ว โนราจะตีเครื่องดนตรีเป็นเพลงเชิดอีกครั้งเพื่อส่งครูหมอกลับ ครูหมอก็ออกจากร่างทรง เป็นอันเสร็จพิธีกรรมทั้งหมด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก/ คุณวิวัฒน์ วนรังสิกุล (สังคมวัฒนธรรมและสุขภาพ)
ศึกษาค้นควาหาข้อมูลและตรวจทานแก้ไขข้อมูลแสดงหน้าเว็บใหม่โดย/ โนราบรรดาศักดิ์ พิทักษ์ศิลป์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น