ความหมายความสำคัญของบทกลอนโนราแต่ละบทกลอน
บทร้องที่ใช้ร้องในการประกอบพิธีโดยไม่ใช้ท่ารำ
1.1 บทสัสดี บทไหว้ครูก่อนทำพิธีเพื่อระลึกถึงครู
ขอความเป็นสิริมงคล
1.2 บทบาลีหน้าศาล บทใช้ร้องประกอบพิธีก่อนเชิญครู
เป็นกลอนเล่าตำนานโนราและขนบธรรมเนียม วิธีการแสดงโนราโรงครูตามลำดับโดยสรุป
เพื่อเตือนความจำและเล่าให้ผู้ร่วมพิธีทุกคนได้ฟังเข้าใจร่วมกัน
1.3 บทชาครูหมอ บทร้องบูชาครูหมอตายาย ขอความเป็นสิริมงคลจากครูหมอลงมาช่วยคุ้มครองลูกหลานไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดให้ช่วยติดตามและคุ้มครองดูแลตลอดเวลาจะทำอะไรขอให้มีแต่สวัสดิภาพและลาภผล
1.4 บทส่งครู ใช้ร้องเชิญเทวดาและครูหมอตายายทั้งหลายกลับหลังจากรับเครื่องเซ่นสังเวยแล้ว
บทร้องที่ใช้ร้องในการประกอบพิธีโดยใช้ท่ารำ
จะสะท้อนคุณค่าและวิถีชีวิตเป็นคติธรรมสั่งสอนและปลุกฝังแนวคิดการดำรงชีวิตที่ดีให้แก่ลูกหลานหรือผู้ร่วมชมการแสดงโนราโรงครูทุกคนให้เห็นตัวอย่างความชั่ว-ดีงามแล้ว
นำไปปฏิบัติได้ถูกต้อง
2.1 บทไชชาย จะเป็นการรำและการเล่าเรื่องราวการอยู่ด้วยกันของสามีภรรยาที่รู้จักหน้าที่ของแต่ละคน
มีความขยันทำงานและคอยดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันเป็นครอบครัวเล็กๆมีชีวิตเรียบง่ายแต่มีความสุขเช่น
ตื่นเช้าสามีลุกขึ้นไปนา ภรรยาอยู่บ้านปรุงอาหารให้สามีรับประทานและคอยเลี้ยงลูก
เวลาว่างคอยปั่นฝ้ายทอผ้า
2.2 บทฟ้าลั่น จะเป็นการรำและเล่าเรื่อง
เกี่ยวกับสตรีหรือผู้หญิงที่มีความประพฤติไม่ดีทำตัวผิดแปลกประเพณี
และเกิดเรื่องน่าอับอายเกิดขึ้น คือเป็นผู้หญิงที่ตามสามีและโดนสามีทิ้ง
หรือเป็นสาวพรหมจารีแต่จะแต่งงานกับพ่อหม้าย
2.3 บทพลายงามตามโขลง เป็นการรำและแสดงบทบาทสมมุติเป็นช้างป่าที่โดนตาหมอเฒ่าหรือหมอช้างจับมาผูกมัดไว้ให้มาอยู่ในที่รกไม่มีอิสระยิ่งดิ้นเชือกยิ่งรัดตึงทนทุกทรมานไม่มีอิสระเหมือนอยู่ในป่าธรรมชาติ
2.4 บทแสงทอง เป็นการร่ายรำและพรรณนาเปรียบเทียบการรู้จักใช้ม่านกั้นแสงทองของพระอาทิตย์ในช่วงเวลาต่างๆ
เช่น ถ้าดวงอาทิตย์ส่องตอนเช้า แสงอ่อนใช้ม่านขาวบังไว้
แสงอาทิตย์ส่องตอนเที่ยง ใช้ม่านเหวียงบังไว้ แสงอาทิตย์ส่องเกือบค่ำ
ใช้ม่านดำกั้นไว้
2.5 บทนกจอก เป็นการร่ายรำและพรรณนาเปรียบเทียบนกกระจอกกับความต้องการและดิ้นรนเกินกำลังขณะที่ยังมีภาระหรือความลำบากทุกข์เป็นทุนดั้งเดิม
ดังนั้นจะต้องหาหนทางแก้ปัญหา เช่น
นกกระจอก จะบินข้ามมหาสมุทร หรือข้ามแม่น้ำแต่ข้ามไม่ได้ เพราะขนยังอ่อนอยู่
นกกระจอกจะบินข้ามสมุทรไทยแต่บินไม่ได้ เพราะกำลังควักไข่อยู่
นกกระจอกจะบินข้ามทะเลวนแต่ข้ามไม่ได้ เพราะนกกำลังผลัดขน
2.6 บทพญาแร้งหรือบทยางแดง เป็นการร่ายรำและเปรียบเทียบการพึ่งพาอาศัยของสัตว์ขนาดใหญ่
คือแร้ง กับต้นไม้ใหญ่ประเภทต่างๆ เช่น ไม้หลุมพอ ไม้ทองหลาง ไม้ยางแดง
ซึ่งมีประโยชน์และเป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ใหญ่
2.7 บทนกเป็ดน้ำเป็นการร่ายรำและเปรียบเทียบ สอนให้รูจักบุญคุณครู มีความกตัญญูไม่ลบหลู่บุญคุณครู เช่น ไชยชายไปเรียนรู้วิชา การใช้หอกโดยดัดแปลงจากวิธีการใช้ปากหาปลาของนกเป็ดน้ำจนชำนาญ เมื่อมีมีคนถามว่าเรียนรู้วิชามาจากที่ไหนก็อายไม่กล้าบอก ว่ามีนกเป็ดน้ำเป็นแบบอย่างของครู
แต่กลับบอกไปว่าเรียนรู้ด้วยตนเองในภายหลัง ก็โดนหอกแทงตนเองตาย
2.8 บทนางขี้หนอน เป็นกระบวนการรำที่มีบทบาทสำคัญต่อการแสดงโนรา เพราะเนื้อหาของบทเป็นเรื่องราวของนางกินรี ในนิทานปัญญาชาดกของพระพุทธศาสนาที่มีการกล่าวถึงนางกินนรีที่เขาไกรลาศ ชวนบริวารมาลงเล่นน้ำและโดนพรานบุญจับตัวไป
2.9 บทกำพรัดลูกอ่อน เป็นการร่ายรำประกอบการพรรณนา ความรักและความเมตตาที่แม่มีต่อลูกให้เห็นถ้าความอดทน
และความยากลำบาก ของแม่ขณะตั้งท้องเพื่อเลี้ยงลูกตนเองให้เติบโตอย่างสมบูรณ์ เมื่อลูกคลอดออกมาก็เฝ้าอุตสาห์เลี้ยงดู ปอนข้าวปลาอาหาร และปัดกวาดไล่ยุง ไร ไม่ให้ไต่ตอม กลัวอันตรายจะเกิดกับลูก และได้เลี้ยงลูกจนโตใหญ่
2.10 บทระไวระเวก เป็นบทร่ายรำที่ลีลาของนางกินรีแต่ละตัวที่มารวมจับระบำกันสนุกสนานแต่ละนางมีท่ารำที่สวยงาม มีบุคลิกที่แตกต่างกัน มาแสดงความหลากหลาย ของกระบวนการรำ
2.11 บทฝนตกข้างเหนือ เป็นการร่ายรำประกอบการพรรณนา เปรียบเทียบถึงสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ได้แก่ ฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้น้ำฝนบ่าทะลาย ภูเขาต่างๆเป็นปัญหาอุปสรรคในการเดินทางไปตามหาน้อง หรือคนที่รักได้แต่ในจิตใจนั้นยังระลึกถึงอยู่
2.12 บทลมพัดชายเขา เป็นการร่ายรำและเปรียบเทียบ
การที่ไม่หลงลืมตนเองไปจากเผ่าพันธุ์หรือเพื่อนฝูง เสมือนโขลงช้าง ที่มีช้างพัง และช้างพลายเป็นบริวารห้อมล้อมมิได้หลงลืมตนช้างพังยังรักและภูมิใจในโขลงช้างตนเอง
2.13 บทโศกังหรือบทอนิจจัง เป็นการร่ายรำประกอบบทร้องเปรียบเทียบให้รู้จักปลงสังขารตนเอง ว่าคนเราเกิดมาทุกคนจะต้องตายแล้วแต่ใครจะตายก่อนหรือจะตายหลัง
แต่เมื่อตายมิได้เอาสิ่งใดติดตัวไปนอกจากความดีและความชั่วจะขึ้นสวรรค์หรือจะตกนรกนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง
2.14 ดอกจิกดอกจัก เป็นการร่ายรำประกอบบทร้องที่แสดงถึงความพยามของชายหนุ่มที่เฝ้าถนอมหญิงสาวที่ตนรัก ด้วยการช่วยเหลือสร้างไมตรีแต่ในที่สุดก็เสียกำลังใจเพราะมีชายอื่นมาพรากจากคนรักไปเปรียบเสมือนกับปลูกต้นไม้คอยดูแลตั้งแต่แตกหน่อจน
แตกยอดคอยรดน้ำพรวนดินเมื่อผลิดอกออกผลก็ให้ผู้อื่นเก็บเกี่ยวไป
2.15 บทสิบสอง เป็นการแสดงละครเฉพาะตอนสั้นจำนวนสิบสองเรื่องต่อเนื่องกันไปโดยมีตัวละครเพียงสองตัวคือพรานและนายโรงโดยใช้จังหวะเพลงทับเพลงโทนและการบรรยายเล่าเรื่องประกอบกันไปของตัวละคร
2.16 บทตั้งเมือง เป็นการร่ายรำประกอบการร้องบทในจังหวะเพลงทับเพลงโทนเพื่อขอขมาแม่ธรณีหรือเพระภูมิเจ้าที่
เทวดาทั่วทิศเพื่อตั้งเมืองหรือใช้สถานที่ในการแสดงโนรา
ขอขอบคุณข้อมูลจากเอกสารมหาวิทยาลัยทักษิณสงขลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น